
ขนมหวานเพื่อสุขภาพ มีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมต่ำ
ขนมหวานเพื่อสุขภาพ คือ ขนมหวานที่ผลิตจากวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพมีประโยชน์ต่อร่างกายไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวขนมหวานเพื่อสุขภาพมักมีปริมาณน้ำตาล ไขมันและโซเดียมต่ำและใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเช่น ผลไม้,ธัญพืช,ถั่ว,นมไขมันต่ำ เป็นต้น องค์การอนามัยโลก(WHO)แนะนำปริมาณน้ำตาลที่ควรได้รับต่อวันสำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุ 11 ปีขึ้นไปคือไม่เกิน 6 ช้อนชา(24 กรัม)ปริมาณไขมันที่ควรได้รับต่อวันสำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุ 11 ปีขึ้นไปคือไม่เกิน 20-35% ของพลังงานที่บริโภคและปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับต่อวันสำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุ 11 ปีขึ้นไปคือไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัมแม้ขนมหวานเพื่อสุขภาพจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแต่ควรรับประทานอย่างพอเหมาะโดยไม่ควรรับประทานเกินวันละ1-2ชิ้นเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ตัวอย่างขนมหวานเพื่อสุขภาพมีอะไรบ้าง
ตัวอย่าง ขนมหวานเพื่อสุขภาพ ได้แก่
- ขนมไทย เช่น ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมชั้น ขนมใส่ไส้ เป็นต้น ขนมไทยส่วนใหญ่ทำจากแป้งข้าวเจ้า น้ำตาลมะพร้าว และกะทิ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แป้งข้าวเจ้าเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต น้ำตาลมะพร้าวเป็นแหล่งของน้ำตาลธรรมชาติ และกะทิเป็นแหล่งของไขมันดี
- ผลไม้อบแห้ง เช่น แอปเปิ้ลอบแห้ง กล้วยอบแห้ง มะม่วงอบแห้ง เป็นต้น ผลไม้อบแห้งเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร
- กราโนล่า กราโนล่าเป็นธัญพืชอบแห้งผสมผลไม้แห้งและถั่ว เป็นอาหารเช้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
- โยเกิร์ต โยเกิร์ตเป็นแหล่งของโปรตีน แคลเซียม และจุลินทรีย์ที่ดีต่อลำไส้
- ไอศกรีมโฮมเมด ไอศกรีมโฮมเมดทำจากผลไม้ นม น้ำตาล และไข่ เป็นไอศกรีมที่หวานน้อยและมีไขมันต่ำ
นอกจากนี้ ขนมหวานเพื่อสุขภาพยังสามารถทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน โดยเลือกวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพและลดปริมาณน้ำตาลลง ดังนี้
- ใช้แป้ง Whole Grain แทนแป้งขาว
- ใช้น้ำตาลทรายแดงหรือหญ้าหวาน แทนน้ำตาลทรายขาว
- ใช้นมไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลือง แทนนมไขมันเต็ม
- ใช้ผลไม้สดหรือผลไม้อบแห้ง แทนผลไม้เชื่อม
- ใช้ถั่วหรือธัญพืช แทนขนมขบเคี้ยว

การรับประทานขนมหวานเพื่อสุขภาพควรระวังเรื่องใดบ้าง
การรับประทานขนมหวานเพื่อสุขภาพควรระวังเรื่องต่อไปนี้
- ปริมาณ แม้ขนมหวานเพื่อสุขภาพจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ควรรับประทานอย่างพอเหมาะ โดยไม่ควรรับประทานเกินวันละ 1-2 ชิ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
- ส่วนผสม ควรเลือกขนมหวานที่ทำจากวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว นมไขมันต่ำ เป็นต้น และหลีกเลี่ยงขนมหวานที่มีส่วนผสมของน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง
- ฉลากโภชนาการ ควรอ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อขนมหวาน เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียม
นอกจากนี้ ควรเลือกซื้อขนมหวานจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจว่าขนมหวานนั้นสะอาดและปลอดภัยต่อสุขภาพ
ข้อควรระวังในการรับประทานขนมหวานเพื่อสุขภาพเพิ่มเติม ได้แก่
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนรับประทานขนมหวานเพื่อสุขภาพ เนื่องจากขนมหวานบางชนิดอาจมีน้ำตาลสูง
- ผู้ที่แพ้อาหาร ควรอ่านฉลากโภชนาการอย่างละเอียดเพื่อตรวจสอบส่วนผสมของขนมหวาน เพราะขนมหวานบางชนิดอาจมีส่วนผสมของอาหารที่แพ้
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนรับประทานขนมหวานเพื่อสุขภาพ เพราะขนมหวานบางชนิดอาจส่งผลต่อโรคประจำตัวได้
โดยสรุปแล้ว การรับประทานขนมหวานเพื่อสุขภาพอย่างพอเหมาะจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
คำถามที่พบบ่อย FAQ เกี่ยวกับขนมหวานเพื่อสุขภาพ
ขนมหวานเพื่อสุขภาพคืออะไร?
ขนมหวานเพื่อสุขภาพ คือขนมหวานที่ผลิตจากวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพ มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ขนมหวานเพื่อสุขภาพมักมีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมต่ำ และใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว นมไขมันต่ำ เป็นต้น
ประโยชน์ของขนมหวานเพื่อสุขภาพมีอะไรบ้าง?
การรับประทานขนมหวานเพื่อสุขภาพอย่างพอเหมาะจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น
- วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ขนมหวานที่ทำจากผลไม้ ธัญพืช และถั่ว เป็นแหล่งที่ดีของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ซึ่งจำเป็นต่อร่างกาย
- โปรตีน ขนมหวานบางชนิด เช่น โยเกิร์ต และไอศกรีมโฮมเมด เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
- ไขมันดี ขนมหวานบางชนิด เช่น ขนมไทยบางชนิด และไอศกรีมโฮมเมด เป็นแหล่งที่ดีของไขมันดี ซึ่งเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
เกณฑ์ของขนมหวานเพื่อสุขภาพเป็นอย่างไร?
ขนมหวานเพื่อสุขภาพควรมีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมต่ำ ดังนี้
- น้ำตาล ขนมหวานเพื่อสุขภาพควรมีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 10 กรัมต่อหน่วยบริโภค (2 ช้อนชา) น้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน
- ไขมัน ขนมหวานเพื่อสุขภาพควรมีปริมาณไขมันไม่เกิน 3 กรัมต่อหน่วยบริโภค ไขมันมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน
- โซเดียม ขนมหวานเพื่อสุขภาพควรมีปริมาณโซเดียมไม่เกิน 120 มิลลิกรัมต่อหน่วยบริโภค โซเดียมมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง
ขนมหวานที่เหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวานหรือมีโรคเบาหวานมีอะไรบ้าง?
ขนมหวานที่เหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวานหรือมีโรคเบาหวานควรมีน้ำตาลน้อยหรือใช้แทนน้ำตาลสารอาหารเช่น stevia, erythritol, หรือ xylitol ขนมหวานที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (GI) ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
วิธีสร้างขนมหวานที่มีแคลอรี่น้อยและน้ำตาลน้อยคืออย่างไร?
สามารถใช้แทนน้ำตาลด้วยน้ำตาลที่มีแคลอรี่ต่ำหรือใช้ผลไม้บด, ผลกลม, หรือผักสดเป็นแหล่งความหวาน

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขนมหวานเพื่อสุขภาพ
- ขนมหวานเพื่อสุขภาพสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป หรือทำเองที่บ้านก็ได้ ขนมหวานเพื่อสุขภาพที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป เช่น ผลไม้อบแห้ง โยเกิร์ต กราโนล่า ไอศกรีมโฮมเมด เป็นต้น ส่วนขนมหวานเพื่อสุขภาพที่ทำเองที่บ้านสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเลือกวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพและลดปริมาณน้ำตาลลง
- ขนมหวานเพื่อสุขภาพควรมีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมต่ำ ปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมในขนมหวานส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง ดังนั้น ขนมหวานเพื่อสุขภาพควรมีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 10 กรัมต่อหน่วยบริโภค (2 ช้อนชา) ไขมันไม่เกิน 3 กรัมต่อหน่วยบริโภค และโซเดียมไม่เกิน 120 มิลลิกรัมต่อหน่วยบริโภค
- การอ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อขนมหวานเป็นสิ่งสำคัญ ฉลากโภชนาการจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมในขนมหวาน ดังนั้น จึงควรอ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อขนมหวานเพื่อสุขภาพ
- ควรรับประทานขนมหวานอย่างพอเหมาะ แม้ขนมหวานเพื่อสุขภาพจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ควรรับประทานอย่างพอเหมาะ โดยไม่ควรรับประทานเกินวันละ 1-2 ชิ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนรับประทานขนมหวานเพื่อสุขภาพ เนื่องจากขนมหวานบางชนิดอาจส่งผลต่อโรคประจำตัวได้
ไม่ควรพลาดข่าวสารดีๆเกี่ยวกับ : อาหารเพื่อสุขภาพ